Seoul ใน Soul จุดเริ่มต้นของวันนี้
ย้อนกลับไปยาวๆ ราวๆปี 2004-2005
ตอนนั้นเกาหลียังไม่บูม ดารานักร้องเกาหลียังไม่ตบเท้าเข้ามาในบ้านเรามากมายเท่าไร
ถ้าจะให้ดัง ยุคนั้นต้อง F4!! ไต้หวัน เต้าหมิงซื่อ นี่ดังระเบิดระเบ้อ
ฉันเองก็ไม่รู้และไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเกาหลีมันอยู่ส่วนไหนของเอเชีย รู้แค่ว่ามันอยู่เอเชียก็เท่านั้น
ความใฝ่ฝันในวัยเด็กยังคงชัดเจน "ชั้นจะไปอยู่อังกฤษ!"
แต่แล้วเพื่อนสาวที่คบกันมาเนิ่นนานก็หยิบยื่นหนังสือแปลเล่นหนึ่งมาให้
"หนุ่มฮ็อตสาวเฮี้ยว รักเปรี้ยวอมหวาน" เธอแนะนำว่า มันสนุกมากเท้อ เท้อต้องลองอ่าน
เอ้า! อ่านก็อ่าน อ่านไปอ่านมา เฮ้ย...มันสนุก !! เอามาอีกๆ
แหมคุณ สมัยนั้นยังวัยรุ่นวัยขบเผาะ นิยายพวกนี้นะมัดใจได้ทั้งนั้นแหละ
ตั้งแต่นั้นมาก็เลยกลายเป็นแฟนคลับ "ควียอนี" ไปโดยปริยาย มีเล่นใหม่มาเมื่อไร
ฉันจะต้องสอยมาอ่านก่อนคนอื่นเขาตลอด
และนั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันเข้าใกล้กับคำว่า "เกาหลี" มากขึ้น
จากนั้นก็เหมือนเบื้องบนเช็คปฏิทิน คิดว่า ถึงเวลาที่ฉันจะต้องทำความรู้จักเกาหลีอย่างจริงจังเสียทีแล้ว
จึงส่งเพื่อนคนเดิมที่หยิบยื่นหนังสือนิยายแปลเล่มนั้นมาทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเกาหลีอีกครั้ง"เธอไปเกาหลีกันไหม" อ๋อ ลืมบอกไป ตอนนั้นคนที่คลั่งไคล้เกาหลีมากมาย ก็เพื่อนฉันคนนี้นี่ละ
คำถามธรรมดาสั้นๆ ง่ายๆ ไปเกาหลีกันไหม คือจุดเปลี่ยนในชีวิตฉัน!
เดี๋ยวนี้ใครๆไปเกาหลีก็ไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยว ไปตามดารานักร้องกันใช่ไหมละ
แต่ฉัน ณ ตอนนั้น เพื่อนฉันชวนไปเกาหลี ไปเข้าค่ายค่ะคู๊ณณณ เปรี้ยวไหมละ
สมัยนั้นยังไม่มีใครเขาไปเที่ยวเกาหลีกันสักเท่าไร ค่าตั๋วหรือก็แพงแสนแพง
ไปเข้าค่ายที่ว่านี่ มันเป็น International Camp ของ Girls Scouts ทั่วโลกล่ะ
ฉันบอกไว้ก่อนเลย เรียน Girl Scouts มาตั้งแต่อ้อนแต่อ่อน ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะได้ไปเข้าค่าย
เมืองนอกเมืองนาแบบนี้กับเขา เรียนทีไรก็ตากแดดเปรี้ยงๆ จะเป็นลมทุกที
หลังจากถามที่บ้าน บวกกับปรึกษากับครูที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว
เป็นอันว่าฉันตกลงปลงใจไปเข้าค่ายที่เกาหลีกับเพื่อน แบบห่วงหน้าพะวงหลัง
หนึ่งเพราะฉันไม่เคยไปต่างประเทศเลยแม้แต่ครั้งเดียว และสองเพราะฉันจะมีสอบวิชาคณิตศาสตร์ คู่รักคู่แค้นของฉันที่รบกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้ จนตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่เคยรบชนะมันสักครั้งเดียว
แต่เหตุผลที่ทำให้ฉันตัดสินใจว่า เออ ไปก็ไปวะ ก็คือ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะไปต่างประเทศ!!!
คุณค่ะ สำหรับฉัน ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ การไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิด
ดังนั้นมีโอกาสจึงต้องรีบคว้า ตอนนั้นต่อให้เพื่อนชวนไปประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ ก็คงไปกับเขาเหมือนกัน!
จะด้วยความประทับใจต่างๆนาๆ ที่ได้รับมาอย่างมากมายมหาศาลหลังจากกลับจากเกาหลี หรืออะไรก็ตามแต่
ความผูกพันธ์ระหว่างฉันกับประเทศนี้ก่อเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว มันไม่ใช่รักแรกพบ แบบเห็นปุ๊บปิ๊งปั๊บ
แต่ความรู้สึกมันค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ มารู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว
ฉันกับประเทศเกาหลี ความสัมพันธ์เราเริ่มกันมาแบบนี้ละค่ะ
หลังจากกลับมาจากประเทศเกาหลี ฉันก็เริ่มหาซื้อหนังสือเรียนภาษาเกาหลีด้วยตัวเอง
อ่านมันไปเรื่อยๆทีละนิด โดยไม่ยอมไปลงคอร์สเรียนภาษาเกาหลีที่สถาบันไหน เพราะยังกลัวใจตัวเอง
ไม่รู้ว่าจะรักมันไปได้นานแค่ไหน ถ้าเลิกกันกลางคัน เสียดายเงินตาย!
แต่ก็น่าแปลก ฉันไม่เคยอยากหยุด หรือละทิ้งภาษาเกาหลี ฉันยังคงสนใจทุกอย่างที่เป็นเกาหลีอยู่เหมือนเดิม
ตั้งแต่วันที่เดินทางกลับจากเกาหลี จนถึงวันที่ฉันเรียนจบมัธยมปลาย แถมยังแอบฝันอยู่ลึกๆด้วยว่า ในอนาคตฉันอยากจะไปเรียนต่อที่เกาหลี ประเทศอังกฤษที่เคยใฝ่ฝันถึงนั้นมลายหายไปชั่วพริบตา
3 ปี กับการทดสอบใจตัวเองว่าจะไปกันได้สักกี่น้ำ
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ทุกอย่างมันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ฉันชอบเกาหลี ฉันชอบภาษาเกาหลี ฉันอยากเรียนแบบเป็นจริงเป็นจังเสียที! พอคิดได้แค่นั้นแหละ ฉันก็พุ่งเข้าสู่โลกของ "เกาหลี" อย่างเต็มตัว ฉันเลือกเรียนวิชาโทเป็นภาษาเกาหลี ลงเรียนทุกวิชาที่คณะเปิดสอน พยายามกอบโกยมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ มีบ้างที่รู้สึกว่า ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเรียนละภาษาเกาหลี ย๊ากกกยากกก แต่ก็แค่คิดและรู้สึก ฉันไม่เคยเลิกกับเกาหลีได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว พอเรียนจบ ก็ได้เวลาตามหาความฝันที่ฝังลึกไว้ตั้งแต่ตอนเรียน ม.ปลาย
"ฉันจะไปเรียนต่อเกาหลี"
ที่ตอนแรกคิดไว้ว่าเราจะไปกันได้สักกี่น้ำ ความจริงจังในเกาหลีมีมากขึ้นเรื่อยๆ
จนตัดสินใจยื่นขอทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศเกาหลี แต่คู๊ณณณณ
มันง่ายซะทีไหนละคะ ณ ตอนนั้น ใครๆก็อยากไปเกาหลี ปรากฏการณ์เกาหลีฟีเวอร์ทำให้คนไทยหันมาสนใจประเทศ ภาษา วัฒนธรรมเกาหลีมากมายก่ายกอง และก็ตามคาด ปีนั้นฉันไม่ได้ทุนไปเรียนต่อ
บอกตรงๆว่าตอนนั้นแอบถอดใจเล็กๆ แต่ไม่ได้เสียใจว่าทำไมถึงไม่ได้ แค่รู้สึกว่า มันอาจจะไม่ใช่ที่ของเรา
ฉันสมัครงาน เริ่มทำงานบริษัทอย่างจริงจัง จนเวลาผ่านไปหนึ่งปี ไปเกาหลีผุดขึ้นมาบนหัวอีกครั้ง "ฉันอยากไปเรียนต่อเกาหลี" พอดีกับที่ทุนเปิดรับสมัครอีกพอดี ฉันก็ไม่รีรอ ลองมันอีกสักตั้ง ได้ก็ดี ไม่ได้ก็จะเป็นไรไป
ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่า ไปแล้วจะเรียนยังไง จะเรียนได้ไหม ภาษาเกาหลีก็ได้แค่นี้ ไปตายเอาดาบหน้าละกัน(ว่ะ)
กันยายน 2013....
เป็นวันที่ฉันเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งสู่ สนามบินนานนาชาติอินชอน เพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศเกาหลี ค่ะ...ฉันทำได้! ฉันได้ไปเรียนต่อตามที่ตั้งใจทุกอย่าง การเหินฟ้าข้ามน้ำข้ามทะเลไปโซลครั้งนี้ คือจุดเริ่มต้นของฉันในวันนี้ วันที่ทำให้ฉันได้อาศัยและใช้ชีวิตในโซล และคุณรู้อะไรไหม เรื่องตลกในชีวิตเรื่องหนึ่งที่ฉันมักจะหยิบยกมาพูดกับเพื่อนคนนั้นที่ทำให้ฉันรู้จักเกาหลี ก็คือ เรื่องราวของความกลับตาลปัตรของโชคชะตา ตอนเด็กนอกจากฝันจะไปอยู่อังกฤษแล้ว ฉันยังฝันอยากจะเป็นแอร์โฮสเตสกับเขาเสียด้วย ส่วนเพื่อนของฉันก็ใฝ่ฝันอย่างดิบดีว่าจะต้องบินมาเรียนและอยู่เกาหลี แล้วคุณดูสิ...คงไม่ต้องทายนะ ว่าเพื่อนฉันคนนั้นตอนนี้ทำอาชีพอะไร!
ฉันไม่เคยคิดว่าจุดเริ่มต้นในปี 2005 นั้นจะทำให้ฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ในวันนี้
ทุกวันนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป ฉันยังนั่งยิ้มให้กับเส้นทางที่ฉันเดินผ่านมาอยู่เลย
ยังแอบงงด้วยซ้ำ....ว่าฉันไปรักใคร่ชอบพอเกาหลีแบบจริงจังตอนไหนหว้า?
Comments
Post a Comment